นี่เป็นทฤษฎีที่เราคิดเอง เพราะฉะนั้น เอาไปอ้างอิงกะใครไม่ได้นะครับ
สิ่งที่เรียกว่าภูติผี หรือวิญญาณ ที่คนบางคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เรามีทฤษฎีแปลกๆมานำเสนอกันครับ
1.ผีไม่มีตัวตน! ไอ้คนที่บอกว่าเคยเห็นอ่ะ มันโม้!
เอ่อ...สำหรับทฤษฎีนี้ ยืนอยู่บนหลักการที่ว่า "ถ้ามันมีผีจริง เอามาให้ดูหน่อยเด๊ะ ถ้ามีจริงทำไมเราไม่เคยเห็น"เลยค่อนข้างขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ว่ากันตามจริงก็จะไปว่าเค้าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องพรรค์นี้ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกจริงไหมครับ ใครที่ไหนเขาจะมีปัญญาไปพาผีมาเป็นหลักฐานได้ ส่วนใหญ่พอเจอ ก็วิ่งกันป่าราบซะหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอ (ไม่นับพวกรูปถ่ายอะไรพวกนี้นะครับ เพราะอาจเกิดจากปรากฎการธรรมชาติต่างๆ เช่นการเล่นตลกของแสง หหรืออะไรอื่นๆได้ แล้วก็มีหลายรูปอยู่เหมือนกันที่มีคนอุตริแต่งภาพเอามาหลอกชาวบ้าน ดังนั้นพวกหัวแข็งบางคนก็เลยเหมาเอาหมดว่า เป็นของเก๊ทั้งหมด) เราจึงเห็นเหล่าผู้ใจกล้าทั้งหลาย ชอบไปลองของอยู่เสมอๆ เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ตกลงไอ้ที่เขาเล่าๆกันมาน่ะ มันจริงหรือไม่จริงกันแน่ แต่ถ้าเกิดจะอ้างตามคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง (ใครไม่รู้จำไม่ได้) ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวว่า " The absence of evident is not the evident of absence" หรือแปลเป็นไทยว่า "การไม่มีหลักฐานไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นหลักฐานของการไม่มี" ฟังแล้วรู้เรื่องไหมครับ แปลได้อีกทีว่าที่บอกว่าไม่มีหลักฐานน่ะ ที่จริงมันอาจจะมี แต่คุณไม่มีความสามารถพอจะมองเห็นมันได้ก็ได้!(อ้าว) ดังนั้น สำหรับทฤษฎีนี้ ผมว่าค่อนข้างจะมองโลกในมุมมองที่แคบเกินไปหน่อยครับ ใครที่เชื่อตามทฤษฎีนี้ต้องคอยท่องไว้เสมอนะครับว่า"ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่" เพราะถ้าเกิดมีจริงขึ้นมาแล้วจะซวยเอา เหอๆ
สิ่งที่เรียกว่าภูติผี หรือวิญญาณ ที่คนบางคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เรามีทฤษฎีแปลกๆมานำเสนอกันครับ
1.ผีไม่มีตัวตน! ไอ้คนที่บอกว่าเคยเห็นอ่ะ มันโม้!
เอ่อ...สำหรับทฤษฎีนี้ ยืนอยู่บนหลักการที่ว่า "ถ้ามันมีผีจริง เอามาให้ดูหน่อยเด๊ะ ถ้ามีจริงทำไมเราไม่เคยเห็น"เลยค่อนข้างขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ว่ากันตามจริงก็จะไปว่าเค้าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องพรรค์นี้ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกจริงไหมครับ ใครที่ไหนเขาจะมีปัญญาไปพาผีมาเป็นหลักฐานได้ ส่วนใหญ่พอเจอ ก็วิ่งกันป่าราบซะหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอ (ไม่นับพวกรูปถ่ายอะไรพวกนี้นะครับ เพราะอาจเกิดจากปรากฎการธรรมชาติต่างๆ เช่นการเล่นตลกของแสง หหรืออะไรอื่นๆได้ แล้วก็มีหลายรูปอยู่เหมือนกันที่มีคนอุตริแต่งภาพเอามาหลอกชาวบ้าน ดังนั้นพวกหัวแข็งบางคนก็เลยเหมาเอาหมดว่า เป็นของเก๊ทั้งหมด) เราจึงเห็นเหล่าผู้ใจกล้าทั้งหลาย ชอบไปลองของอยู่เสมอๆ เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ตกลงไอ้ที่เขาเล่าๆกันมาน่ะ มันจริงหรือไม่จริงกันแน่ แต่ถ้าเกิดจะอ้างตามคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง (ใครไม่รู้จำไม่ได้) ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวว่า " The absence of evident is not the evident of absence" หรือแปลเป็นไทยว่า "การไม่มีหลักฐานไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นหลักฐานของการไม่มี" ฟังแล้วรู้เรื่องไหมครับ แปลได้อีกทีว่าที่บอกว่าไม่มีหลักฐานน่ะ ที่จริงมันอาจจะมี แต่คุณไม่มีความสามารถพอจะมองเห็นมันได้ก็ได้!(อ้าว) ดังนั้น สำหรับทฤษฎีนี้ ผมว่าค่อนข้างจะมองโลกในมุมมองที่แคบเกินไปหน่อยครับ ใครที่เชื่อตามทฤษฎีนี้ต้องคอยท่องไว้เสมอนะครับว่า"ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่" เพราะถ้าเกิดมีจริงขึ้นมาแล้วจะซวยเอา เหอๆ
http://pic.online-station.net/2007/1023/0001347_e0fffdb7e4.jpg
2.พวกเขามีตัวตนจริง อาจเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ แต่ที่เรามองไม่เห็นกัน เพราะเราอยู่กันคนละมิติ!
ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบความคิดของทฤษฎีนี้มากกว่า เนื่องจากมันฟังแล้วค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าทฤษฎีแรก ทั้งยังสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ว่าทำไมคนบางคนที่มองเห็นพวกเขาได้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ถ้าไปบอกว่าคนที่เคยเห็นผีเป็นคนขี้โม้ เราก็อาจจะโดนต่อยปากเอาง่ายๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราเอง เรามาลองฟังหลักการของทฤษฎีนี้กันดีกว่า
จากการคำนวณทางควอนตัมฟิสิกส์ในปัจจุบัน เราเชื่อกันว่าโลกของเรานั้นมีมิติที่อยู่นอกเหนือจากโลก 4 มิติที่เราอยู่กัน คือ กว้าง ยาว สูง และมิติเวลา อีกถึง 7 มิติ ด้วยกัน หรือก็คือความจริงแล้วโลกของเรามีมีติรวมทั้งหมด 11 มิติ โดยมิติเหล่านี้ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ เนื่องจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่ดีมากพอ เชื่อกันว่ามิติที่เหลืออีก 7 มิตินั้น ม้วนซ้อนกันเป็นขดอยู่ มนุษย์บางคนที่สามารถรับรู้ถึงมิติเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสบางอย่างนอกเหนือจากตา หู จมูก ปาก ได้รับการพัฒนามากเกินคนทั่วไป ก็จะสามารถสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอื่นๆได้ หรือก็คือประสบการณ์การ "เห็นผี" นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่ามีประสาทสัมผัสพิเศษแล้วก็จะสามารถพบเห็นได้ทุกครคั้งนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วย เช่นระดับพลังงาน กระแสไฟฟ้าในอากาศ ความชื้น ฯลฯ
ตอนนี้คิดไม่ออกครับ โปรดติดตามต่อในภาค 2 ....
2.พวกเขามีตัวตนจริง อาจเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ แต่ที่เรามองไม่เห็นกัน เพราะเราอยู่กันคนละมิติ!
ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบความคิดของทฤษฎีนี้มากกว่า เนื่องจากมันฟังแล้วค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าทฤษฎีแรก ทั้งยังสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ว่าทำไมคนบางคนที่มองเห็นพวกเขาได้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ถ้าไปบอกว่าคนที่เคยเห็นผีเป็นคนขี้โม้ เราก็อาจจะโดนต่อยปากเอาง่ายๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราเอง เรามาลองฟังหลักการของทฤษฎีนี้กันดีกว่า
จากการคำนวณทางควอนตัมฟิสิกส์ในปัจจุบัน เราเชื่อกันว่าโลกของเรานั้นมีมิติที่อยู่นอกเหนือจากโลก 4 มิติที่เราอยู่กัน คือ กว้าง ยาว สูง และมิติเวลา อีกถึง 7 มิติ ด้วยกัน หรือก็คือความจริงแล้วโลกของเรามีมีติรวมทั้งหมด 11 มิติ โดยมิติเหล่านี้ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ เนื่องจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่ดีมากพอ เชื่อกันว่ามิติที่เหลืออีก 7 มิตินั้น ม้วนซ้อนกันเป็นขดอยู่ มนุษย์บางคนที่สามารถรับรู้ถึงมิติเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสบางอย่างนอกเหนือจากตา หู จมูก ปาก ได้รับการพัฒนามากเกินคนทั่วไป ก็จะสามารถสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอื่นๆได้ หรือก็คือประสบการณ์การ "เห็นผี" นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่ามีประสาทสัมผัสพิเศษแล้วก็จะสามารถพบเห็นได้ทุกครคั้งนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วย เช่นระดับพลังงาน กระแสไฟฟ้าในอากาศ ความชื้น ฯลฯ
ตอนนี้คิดไม่ออกครับ โปรดติดตามต่อในภาค 2 ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น