Generate Your Own Glitter Graphics @ GlitterYourWay.com - Image hosted by ImageShack.us

แสงหนึ่งคือรุ้งงาม

ดอกแก้วกัลยาครับ

+~V! R! (-946-!)~+

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ทฤษฎีคิดเอง : ผี (ภาค1)

นี่เป็นทฤษฎีที่เราคิดเอง เพราะฉะนั้น เอาไปอ้างอิงกะใครไม่ได้นะครับ
สิ่งที่เรียกว่าภูติผี หรือวิญญาณ ที่คนบางคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เรามีทฤษฎีแปลกๆมานำเสนอกันครับ

1.ผีไม่มีตัวตน! ไอ้คนที่บอกว่าเคยเห็นอ่ะ มันโม้!
เอ่อ...สำหรับทฤษฎีนี้ ยืนอยู่บนหลักการที่ว่า "ถ้ามันมีผีจริง เอามาให้ดูหน่อยเด๊ะ ถ้ามีจริงทำไมเราไม่เคยเห็น"เลยค่อนข้างขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ว่ากันตามจริงก็จะไปว่าเค้าก็ไม่ได้ เพราะเรื่องพรรค์นี้ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกจริงไหมครับ ใครที่ไหนเขาจะมีปัญญาไปพาผีมาเป็นหลักฐานได้ ส่วนใหญ่พอเจอ ก็วิ่งกันป่าราบซะหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอ (ไม่นับพวกรูปถ่ายอะไรพวกนี้นะครับ เพราะอาจเกิดจากปรากฎการธรรมชาติต่างๆ เช่นการเล่นตลกของแสง หหรืออะไรอื่นๆได้ แล้วก็มีหลายรูปอยู่เหมือนกันที่มีคนอุตริแต่งภาพเอามาหลอกชาวบ้าน ดังนั้นพวกหัวแข็งบางคนก็เลยเหมาเอาหมดว่า เป็นของเก๊ทั้งหมด) เราจึงเห็นเหล่าผู้ใจกล้าทั้งหลาย ชอบไปลองของอยู่เสมอๆ เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ตกลงไอ้ที่เขาเล่าๆกันมาน่ะ มันจริงหรือไม่จริงกันแน่ แต่ถ้าเกิดจะอ้างตามคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง (ใครไม่รู้จำไม่ได้) ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวว่า " The absence of evident is not the evident of absence" หรือแปลเป็นไทยว่า "การไม่มีหลักฐานไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นหลักฐานของการไม่มี" ฟังแล้วรู้เรื่องไหมครับ แปลได้อีกทีว่าที่บอกว่าไม่มีหลักฐานน่ะ ที่จริงมันอาจจะมี แต่คุณไม่มีความสามารถพอจะมองเห็นมันได้ก็ได้!(อ้าว) ดังนั้น สำหรับทฤษฎีนี้ ผมว่าค่อนข้างจะมองโลกในมุมมองที่แคบเกินไปหน่อยครับ ใครที่เชื่อตามทฤษฎีนี้ต้องคอยท่องไว้เสมอนะครับว่า"ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่" เพราะถ้าเกิดมีจริงขึ้นมาแล้วจะซวยเอา เหอๆ


http://pic.online-station.net/2007/1023/0001347_e0fffdb7e4.jpg
2.พวกเขามีตัวตนจริง อาจเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ แต่ที่เรามองไม่เห็นกัน เพราะเราอยู่กันคนละมิติ!
ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบความคิดของทฤษฎีนี้มากกว่า เนื่องจากมันฟังแล้วค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าทฤษฎีแรก ทั้งยังสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่ว่าทำไมคนบางคนที่มองเห็นพวกเขาได้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ถ้าไปบอกว่าคนที่เคยเห็นผีเป็นคนขี้โม้ เราก็อาจจะโดนต่อยปากเอาง่ายๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราเอง เรามาลองฟังหลักการของทฤษฎีนี้กันดีกว่า
จากการคำนวณทางควอนตัมฟิสิกส์ในปัจจุบัน เราเชื่อกันว่าโลกของเรานั้นมีมิติที่อยู่นอกเหนือจากโลก 4 มิติที่เราอยู่กัน คือ กว้าง ยาว สูง และมิติเวลา อีกถึง 7 มิติ ด้วยกัน หรือก็คือความจริงแล้วโลกของเรามีมีติรวมทั้งหมด 11 มิติ โดยมิติเหล่านี้ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ เนื่องจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่ดีมากพอ เชื่อกันว่ามิติที่เหลืออีก 7 มิตินั้น ม้วนซ้อนกันเป็นขดอยู่ มนุษย์บางคนที่สามารถรับรู้ถึงมิติเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสบางอย่างนอกเหนือจากตา หู จมูก ปาก ได้รับการพัฒนามากเกินคนทั่วไป ก็จะสามารถสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอื่นๆได้ หรือก็คือประสบการณ์การ "เห็นผี" นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่ามีประสาทสัมผัสพิเศษแล้วก็จะสามารถพบเห็นได้ทุกครคั้งนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วย เช่นระดับพลังงาน กระแสไฟฟ้าในอากาศ ความชื้น ฯลฯ


ตอนนี้คิดไม่ออกครับ โปรดติดตามต่อในภาค 2 ....

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

แรงบันดาลจัยในการแต่งเรื่อง

วันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน (จริงๆ ไม่เหมือนวันที่เขียนเรื่อง "อะไร")
เราเลยมาย้อนอดีต ถึงแรงบันดาลใจในการเขียนบทความของเราให้ได้อ่านกัน
ฉลองบทความสุดท้ายของเดือนนี้กัน

3 เรื่องแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพี่นาง เพราะตอนช่วงต้นปี ยังเป็นตอนที่พระพี่นางพึ่งสิ้นพระชนม์
มองไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงเพลงแสงหนึ่งฯ
เราก็เลยใส่เพลงแสงหนึ่งกับเนื้อเพลงมาซะเลย แล้วก็ใส่ประวัติของพระพี่นางไว้ด้วย
ส่วนเพลงดอกแก้วกัลยานั้น ตอนนั้นเผอิญนึกได้ขึ้นมาว่า เฮ้ย เพลงเกี่ยวกับพระพี่นางที่เราเคยได้ยินมามันมีเพลงนี้อีกเพลงนี่หน่า
เคยฟังตอนดูคุณพระช่วย แต่อาจจะมีบางคนไม่ได้ดูก็เลยไม่รู้จัก เลยเอามาลงให้ได้ฟังกัน เพราะเราฟังแล้วชอบมาก

ต่อมาก็เป็นเรื่องแนะนำหนังสือ
เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก คือหนังสือบอยเล่มนั้น เราพึ่งซื้อมา เลยเห่อ อยากแนะนำให้คนอื่นอ่านมั่ง เพราะอ่านแล้วคลายเครียดดี
เรื่องสิวๆนี่ เราเขียนตอนสิวขึ้นหน้าพร้อมกัน 3 เม็ด ทรมานเป็นที่สุด จะเกาก็เกาไม่ได้ ไปลองหายาทาแก้สิวมาทา เห็นว่าท่าจะดี เลยเอามาเขียนให้คนอื่นได้อ่านมั่ง ทั้งวิธีป้องกันและรักษาสิว อีกอย่างคือเอาไว้เตือนตัวเองด้วย เพราะตอนอยู่บ้านไม่ค่อยชอบล้างหน้า เหอๆ

เรื่อง"อะไร"นี่ง่าย แต่งมั่วๆไป เล่นคำว่าอะไรให้คนอ่านงงเล่น พยายามสอดแทรกข้อคิดเข้าไปด้วยแต่ไม่รู้ว่า คนอ่านจะหาเจอหรือเปล่า(อ่านรู้เรื่องหรือเปล่ายังไม่รู้เลย)

เรื่องเดี่ยว เราลองแต่งกลอนเปล่า(ไฮกุ) แบบของญี่ปุ่นดู แต่พอแต่งเสร็จ ดันลืมไปว่า ไฮกุมันมีแค่ สามบรรทัดเองนี่หว่า -*-
คือเราดูสารคดีช่องดิสคัฟเวอรี่เกี่ยวกับชุมชนของคนในอัฟกันที่รอดจากสงคราม แล้วมันสะเทือนใจ ว่าคนเหมือนกัน มันต่างกันได้ขนาดนี้เลยหรอ
ที่นั่นเขาแทบไม่มีบ้านจะอยู่ด้วยซ้ำ ในขณะที่เรากำลังเฮฮากันอยู่ ก็เลยแต่งบทความนี้ไว้เตือนใจ

กลอนในบทความถัดมาเราเอามาจากกลอนที่เราแต่งส่งอาจารย์เพทาย ตอนงาน 70 ตอ. น่ะ ง่ายดี ไม่ต้องคิดใหม่

ข้อสังเกตมนุษย์ต่างดาว แต่งตอนกะลังอินเลิฟ กะใครไม่บอก ใครอยู่ห้องเดียวกับเราก็คงรู้แล้วแหละ บทความนี้ก็แค่อยากบอกว่า ความรักมันมีทั้งด้านที่ดีแล้วก็ไม่ดี ถ้าเกิดรับเรื่องนี้ไม่ได้ คิดว่ารักจะมีแต่ความสวยงามแล้วละก็ อาจจะต้องผิดหวังจนถึงขนาดฆ่าตัวตายเลยก็ได้ แล้วมองแต่ด้านที่เลวร้ายเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายแล้วก็จะกลายเป็นคนไร้รักไปในที่สุด

เหรียญด้านเดียวนี่ เราเอามาจากนิยายของแดน บราวน์ เพราะเกือบทุกเรื่อง คนร้ายในเรื่องมักจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือพระเอกนางเอก แล้วค่อยมาเปิดเผยตอนจบ เช่น Digital Fortress ที่คนร้ายกลับเป็น สตราทมอร์ หรือ Davinci Code ที่คนร้ายเป็น ทีบลิง แสดงให้เห็นว่า คนเรามองจากภายนอกไม่ได้จริงๆ

เซ็งตัวเอง นี่เซ็งจริง การบ้านตรึม ยังไม่ได้ทำซักอย่าง เลยมาระบายใน Blog
แต่จะบ่นเฉยๆก็คงไม่มีสาระเท่าไหร่ ก็เลยมาบอกผลการทดลองไว้ให้ด้วย

บทความ Puff เราก็ได้บอกแรงบันดาลใจไว้ในบทความแล้ว

ส่วนนายกนี่เราเขียนตามคำขอของท่านพ่อ เพราะเห็นบ่นเหลือเกินเรื่องนายกใหม่เนี่ย แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลชุดนี้จะพาประเทศไปรอดมั้ยเหมือนกัน

จบแล้วครับสำหรับเดือนแรก ไว้เดี๋ยวจบกุมภาฯเมื่อไหร่ก็คงได้เขียนแบบนี้อีกแน่ๆ สนุกดีเหมือนกัน

นายก นายก นายก

และแล้ว เราก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 มาจนได้
ชนะคะแนน ส.ส. มาถึง 300 กว่าเสียง ทิ้งห่างคุณอภิสิทธิ์มาไกลโข
คุณสมัคร สุนทรเวช ที่อายุอานามก็ปาเข้าไป 73 ขวบแร้ว
ถือว่าเป็นมือเก๋าในวงการเมืองเลยทีเดียว
เคยเป็นมาหมดแล้วเกือบทุกตำแหน่ง
เว้นก็แต่นายกที่ได้มาเป็นเอาในคราวนี้
เรื่องฝีไม้ลายมือ ลวดลายทางการเมืองไม่มีใครเป็นห่วง
จะห่วงก็แต่ คนที่อยู่ฮ่องกงตอนนี้
ไม่รู้จะแอบส่งซิกแนลอะไรมาให้หรือเปล่า ตอนคัดเลือกคณะรัฐมนตรี ในอีกไม่นาน
และไม่แน่ว่าอาจจะส่งมาในช่วงบริหารประเทศด้วยก็เป็นได้
ก็คุณสมัครเล่นประกาศตัวกันซะขนาดนั้น
เราก็ต้องมารอดูกันว่า รัฐบาลชุดนี้จะบริหารประเทศไป"รอด"หรือเปล่า
หรือตามคำพูดของนายกคนล่าสุดว่า พลังประชาชนจะพารถยนต์ที่ชื่อว่าประเทศไทยไปถึงจุดหมายโดยไม่แฉลบลงข้างทางเสียก่อนหรือเปล่า
ยิ่งเช้านี้ได้ฟังข่าวเรื่องคุณชูวิทย์ที่โดนคุณบรรหารฟ้องหมิ่นประมาท
เรื่องที่ใครหลายๆคน "บังเอิญ" ไปทั้งลอนดอนทั้งฮ่องกงตอนที่อดีตนายกอยู่พอดี
และปัญหาอื่นๆอีกหลายต่อหลายเรื่อง
ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าละครการเมืองเรื่องนี้จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือเปล่า
ต้องดูกันต่อไป
ต้องดูกันต่อไป

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

เพลง PUFF [The Magic Dragon] สำหรับคนคิดมาก -*-

อันนี้เอามาจากเว็บของกรุ๊งกริ๊งครับ ที่มาก็อ้างอิงตามนั้นได้เลย

PUFF [The Magic Dragon]
Peter Paul & Mary
..Puff the magic dragon
lived by the sea
And froliked in the autumn mist
In a land called Honah Lee

Little Jackie Paper loved that rascal Puff
And brought him strings and sealing wax
And other fancy stuff oh,

*..Puff the magic dragon
lived by the sea

And froliked in the autumn mist
In a land called Honah Lee
Puff the magic dragon
lived by the sea
And frolicked in the autume mist
In a land called Honah Lee

..Together they would travel
On a boat with billowed sail
Jackie kept a look out perched on Puff's gigantic tail

Noblekings and princess
would bow when e'er they came
Pirate ships would low'r their flag
When puff roared out his name Oh!((repeat*))
..A dragon lives forever
but not so little boys
Painted wings and giant rings
Make way for other toys

One grey night it happened
Jackie Paper came no more
And Puff that might dragon
He ceased his fearless roar

..His head was bent in sorrow
Green scales fell like rain
Puff no longer went to play along the cherry lane

With out his life long friend
Puff could not be brave
So Puff that mighty dragon,
Sadly slipped into his cave.oh!((repeat*))


วันนี้ไม่มีอะไรทำ เห็นมันน่าสนใจดี เลยเอามาเขียนบทความซะเลย
เราจะมาลองวิเคราะห์เนื้อเพลงกัน
ก่อนอื่นเลย หากมองหากฟังผ่านๆ เพลงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเหมือนกับเพลงของเด็กที่มีเนื้อหาค่อนข้างเศร้าเท่านั้นเอง
แต่เพื่อนๆหารู้ไม่ว่า เพลงๆนี้ หากเอามาพิจารณาดูแล้ว กลับแฝงไปด้วยปรัชญาและข้อคิดที่น่าสนใจ!! (คิดเอาเองน่ะว่าน่าจะมี)
คำสอนข้อที่หนึ่ง : ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง
โอว แค่ข้อหนึ่งก็กินขาด นี่มันหลักศาสนาพุทธชัดๆ ในเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายกล่าวถึง Jackie ที่ไม่ได้ "lives forever" เหมือนกับ Puff ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินแล้ว ต่อให้มีเพื่อนเป็นโคตรมังกร ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากความตายได้ นอกจากจะกล่าวถึงเรื่องความเป็นความตายของคนแล้ว ในเนื้อเพลงยังกล่าวถึงปฏิกิริยาของ Puff เมื่อเพื่อนรักไม่มาหาแล้ว ว่า เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ตรงนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงสภาพที่ไม่เข้าใจถึงสัจธรรมข้อนี้ อันที่จริงหาก Puff เข้าใจถึงวัฎจักรของชีวิต เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ ยิ่งเป็นอมตะด้วยแล้ว เพราะเขาจะยังต้องพบเห็นความตายของผู้คนที่อยู่รายรอบตัวและไม่ได้มีชีวิตยืนยาวเช่นมังกร และถึงแม้จะเศร้าเพียงใด แต่ในชีวิตจริงแล้ว หากทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก็ได้แต่จมอยู่กับความทุกข์นั้น ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าสักที และยังเป็นการทำลายตัวเองอีกด้วย ดังท่อนที่ว่า "..His head was bent in sorrow Green scales fell like rain"

คำสอนข้อที่สอง : สิ่งมีชีวิตอยู่ในโลกตัวคนเดียวไม่ได้
ข้อนี้พิสูจน์ได้จากการที่ Puff และ Jackie เป็นเพื่อนสนิทกัน เหตุใดมังกรเวทมนตร์ที่มีชีวิตอมตะถึงเลือกที่จะมาคบกับเด็กชายตัวเล็กๆที่มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่สิบปีด้วยเล่า เหตุผลนั้นตอบได้ง่ายๆ เพราะถึงจะเป็นระยะเวลาสั้นๆเมื่อเทียบกับช่วงชีวิตของ Puff แต่ในช่วงที่มี Jackie อยู่นั้น อาจเป็นช่วงไม่กี่สิบปีที่ดีที่สุด และอาจไม่มีอีกแล้วในชีวิตของ Puff ก็เป็นได้ เห็นได้จากเนื้อเพลงท่อนแรกๆที่แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่เล่นกันอย่างสนุกสนาน และเมื่อ Jackie จากไป มังกรเวทมนตร์ที่แสนยิ่งใหญ่ ก็ไม่เหลือความมีชีวิตชีวาอีกเลยความเป็นอมตะนั้นน่ากลัว มีเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากเกินไป ทั้งสุขและเศร้า การมีเพื่อนแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เขาสามารถช่วยเหลือพึ่งพา และทำให้เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาต่างๆไปได้ คนที่อยู่คนเดียวในโลกน่ะ ไม่มีหรอกครับ

คำสอนข้อที่สาม : ความเป็นเด็กและจินตนาการยังคงอยู่กับเราเสมอ
หากมองในแง่ของสัญลักษณ์แล้ว มังกรเวทมนตร์สามารถเปรียบแทนได้กับ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นเด็ก Jackie ในท้องเรื่องของเพลงนั้นเปรียบกับตัวของเราเอง ตั้งแต่เล็กจนโต ความคิดสร้างสรรค์ยังคงอยู่กับเราตลอด อยู่ที่เราคิดว่ามันยังมีหรือไม่ Puff อาจไม่มีตัวตนในสายตาของชาวบ้านคนอื่นๆ แต่สำหรับ Jackie แล้ว Puff มีตัวตนจริงๆสำหรับเขา และเพราะเขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ Puff จึงทำให้ทั้งพระราชา หรือแม้กระทั่งโจรสลัดต้องยอมก้มหัวให้กับ Jackie เปรียบกับพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถเอาชนะความไม่สะดวกสบาย และคำสบประมาทต่างๆลงได้ หากสองพี่น้องตระกูลไรท์ไม่คิดที่จะเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก เดี๋ยวนี้เราคงไม่มีเครื่องบิน หากโทมัส แอลวา เอดิสัน ไม่คิดที่จะเอาชนะความมืดของกลางคืน เดี๋ยวนี้เราคงไม่มีหลอดไฟให้ใช้ ความคิดสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความก้าวหน้าในศาสตร์แขนงต่างๆ หากใครมีความคิดสร้างสรรค์แล้ว ก็เท่ากับมีพลังแห่งมังกรผู้ไร้เทียมทานอยู่เคียงข้างเลยทีเดียว

ครับ หมดแล้ว แต่เราว่าความจริงมันยังมีอีกนะ แต่ตอนนี้เราคิดไม่ออก ถ้าใครช่วยคิดหรือพบแง่คิดอื่นๆที่มีในเพลงนี้ ก็สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ ไม่มีการจำกัดความคิดกันอยู่แล้ว

ปล.เราว่ากรุ๊งกริ๊งคงแค่ชอบเพลงนี้เฉยๆ เราไม่รู้เหตุผลที่ชอบหรอก แต่คงไม่คิดมากขนาดนี้หรอก คิดได้ขนาดนี้ก็ต้องบ้าเข้าขั้นแล้ว กั่กๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

ผลการทดลอง

ตกลงอยู่เฉยๆไม่ได้อ่ะ
ไม่สนุก ไม่มีอะไรให้ทำ
นอนอยู่เฉยๆก็นอนไม่หลับ
เราเป็นคนเดียวหรือป่าววะ
หรือมนุษย์อื่นๆก็เป็นด้วย

ไม่นับการทำสมาธินะ
เพราะการทำสมาธิที่ดูเหมือนนิ่งๆอ่ะ
จริงๆแล้วเค้าต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
แต่เป็นจิตที่เคลื่อน ไม่ใช่ร่างกาย
ต้องคอยตามรู้ตามดูทั้งความคิด ทั้งร่างกายไปเรื่อยๆ
มีสติอยู่ตลอดเวลา เผลอเมื่อไหร่เป็นหลุด
เคยลองทำแล้ว ไม่รอดยากเกิน
ใจมันแว้บๆ ชอบหลงไปคิดไอ้นู่นไอ้นี่อยู่ตลอดเวลา
เหนื่อยว่ะ
ที่ต้องเดินมากะคนสวยทุกวัน55+
(เราไม่ได้เขียน คนสวยมาเขียน)
ตกลงเราก็ว่าคนเราอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆน่ะแหละ
ต่อให้นอนเฉยๆ ยังไงสมองก็คิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ดี
ถ้าอยู่เฉยๆหมด หัวใจก็หยุดเต้น ก็ตายดิ
สรุปคือ ถ้ายังไม่ตาย อย่าอยู่เฉยๆ ให้เสียเวลาเปล่าๆ หายใจทิ้งไปวันๆ
เราลองแล้ว ไม่คุ้มกับชีวิตที่เสียไปจริงๆ

เซ็งตัวเอง

เบื่อตัวเอง
ขี้เกียจทำทุกสิ่งทุกอย่าง
อยากลองอยู่เฉยๆดู แบบไม่ทำอะไรเลย
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาบอกผลการทดลอง

เหรียญด้านเดียว

มีชัยเข้าผับทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
ธำรงเข้าห้องสมุดทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

ดวงธิดากลับบ้านทันทีที่งานเลิก
ตวงพรอยู่ทำโอทีจนดึกทุกวัน

ประเสริฐไม่แม้แต่จะใส่ซองผ้าป่าซักบาท
ทนงบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้มูลนิธิต่างๆเสมอ

กนกไม่ยอมลุกจากที่นั่งบนรถเมล์แม้จะมีคนแก่และหญิงตั้งครรภ์ยืนกันเต็มรถ
ณัฐเสียสละที่นั่งให้สุภาพสตรีเสมอ

เพียงฟ้าไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านของเธอที่ต่างจังหวัดเลย
วินัยกลับไปหาพ่อแม่ของเขาที่บ้านทุกวัน

พิทักษ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายไปกับการนอน
สุเทพใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายไปกับการทำงาน

อานนท์ให้เช่าบ้านในราคาแพงแก่นักศึกษาที่มาจากต่างจังหวัด
สมัยให้เช่าบ้านในขนาดเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่าอานนท์ครึ่งต่อครึ่ง

พีระฆ่าสัตว์โดยไม่รู้สึกรู้สมใดๆทั้งสิ้น
ชมภรไม่กล้าแม้แต่จะตบยุง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
มีชัยเข้าผับทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เพื่อไปเยี่ยมน้องชายจากต่างจังหวัดที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้านนั้น
ธำรงเข้าห้องสมุดทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เพื่อแอบหยิบหนังสือจากชั้นไปขายต่อ

ดวงธิดากลับบ้านทันทีที่งานเลิก เพื่อไปคอยดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต ช่วยตัวเองไม่ได้ที่บ้าน
ตวงพรอยู่ทำโอทีจนดึกทุกวัน เพื่อหาโอกาสที่เจ้านายเผลอ แอบปลอมบัญชี

ประเสริฐไม่แม้แต่จะใส่ซองผ้าป่าซักบาท เพราะประเสริฐเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ออกซองผ้าป่านั้น
ทนงบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้มูลนิธิต่างๆเสมอ เพื่อฟอกเงินและเอาไว้หักภาษีสิ้นปี

กนกไม่ยอมลุกจากที่นั่งบนรถเมล์แม้จะมีคนแก่และหญิงตั้งครรภ์ยืนกันเต็มรถ กนกเป็นคนตาบอด
ณัฐเสียสละที่นั่งให้สุภาพสตรีเสมอ เฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าแฟน

เพียงฟ้าไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านของเธอที่ต่างจังหวัดเลย ตั้งแต่ที่พ่อแม่เธอย้ายมาอยู่กับเธอที่กรุงเทพฯ
วินัยกลับไปหาพ่อแม่ของเขาที่บ้านทุกวัน ถ้าไม่ไปเพื่อขอเงิน ก็ไปเพื่อหลบเจ้าหนี้

พิทักษ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายไปกับการนอน พิทักษ์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยกะกลางคืน
สุเทพใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายไปกับการทำงานหาลำไพ่พิเศษ แล้วไปหลับในช่วงที่เข้ากะพร้อมพิทักษ์

อานนท์ให้เช่าบ้านในราคาแพงแก่นักศึกษาที่มาจากต่างจังหวัด แต่ก็นับว่าถูกมากหากเทียบกับบ้านในระดับเดียวกัน
สมัยให้เช่าบ้านในขนาดเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่าอานนท์ครึ่งต่อครึ่งแก่แม่ของเขาเอง

พีระฆ่าสัตว์โดยไม่รู้สึกรู้สมใดๆทั้งสิ้น เพราะเขาทำเป็นประจำอยู่แล้วในอาชีพในโรงฆ่าสัตว์ของเขา
ชมภรไม่กล้าแม้แต่จะตบยุง ปรกติเธอจะใช้ยาฆ่าแมลงฉีดเอามากกว่า จะได้ไม่ต้องเปื้อนมือ
....
..
.
.
.
.
เหรียญหนึ่งเหรียญมี 2 ด้าน

อย่าด่วนตัดสินว่ามันเพียงด้านเดียว หากคุณยังไม่ได้พลิกมันขึ้นมาดูจริงๆ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

ข้อสังเกตมนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาวผู้หนึ่งได้ลงมาสำรวจโลกมนุษย์
เขาใช้ชีวิตอยู่ในคราบมนุษย์เป็นเวลาหลายปี
จนวันหนึ่ง เขาก็ถูกเรียกตัวกลับไปยังดาวบ้านเกิด
เขากลับไปพร้อมกับคำถามคาใจหนึ่งอย่าง ที่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ นั่นคือ
"คนเราจะมีความรักไปทำไมกัน
ในเมื่อมีรัก แล้วก็ย่อมเกิดทุกข์
...

ทุกข์เพราะอกหัก
ทุกข์เพราะรักเขาข้างเดียว
ทุกข์เพราะไม่ได้เจอหน้ากัน

ทุกข์เพราะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน
ทุกข์เพราะไม่มีโอกาสแสดงความรักต่อกัน
...
เมื่อหมดรักแล้วก็เป็นทุกข์
...
ทุกข์เพราะยังตัดใจไม่ได้
ทุกข์เพราะต้องทนเจอหน้ากัน
ทุกข์เพราะต้องทนใกล้ชิดกัน
ทุกข์เพราะต้องแกล้งทำเป็นยังรักต่อกัน
...
แล้วคนเราจะมีรักไปทำไมกัน"
เขาได้ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า
"ในเมื่อรักแล้วก็มีแต่ความทุกข์
บางที รักอาจเป็นเหมือนน้ำเชื่อมหวาน
ที่เคลือบราคะขมเอาไว้
ให้ความต้องการของคน ดูไม่ฝืดเฝื่อนเกินไป
อาจเป็นเหมือนยาชูกำลัง
ให้ชีวิตของคน ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง ไม่เงียบเหงาไร้จุดหมาย
อาจเป็นเหมือนบททดสอบ ที่พระเจ้าประทานลงมาให้มนุษย์
เพื่อลองใจคน ว่าจะมีปัญญาก้าวผ่าน ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง ได้ไหม
อาจเป็นเหมือนดอกกุหลาบ
ที่แม้จะสวยสดงดงามเพียงใด แต่ก็ซ่อนพิษร้ายและหนามคมไว้ให้ผู้ที่สัมผัสกับมันต้องเจ็บปวด
หรืออาจเป็นเพียง หลุมพรางกับดักของนายพราน
ที่ล่อลวงผู้ลุ่มหลงให้ต้องพบจุดจบอันแสนเศร้า ภายในหลุมลึกอันแสนมืดมิด
เพราะรักเป็นเช่นนี้ ไม่มีตัวตนแท้ ไม่มีผู้ใดนิยามได้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พวกเขาก็ขาดสิ่งนี้ไม่ได้ และไม่มีเหตุผลว่าทำไม รักจึงยังเป็นทุกข์"
...
ข้อสังเกตนี้ได้ถูกส่งผ่านไปยังสภาของชาวมนุษย์ต่างดาว
ผู้อาวุโสมนุษย์ต่างดาวผู้หนึ่ง ซึ่งเคยไปยังโลกมนุษย์มาก่อนเช่นกัน
เมื่อได้รับฟังข้อสังเกตนี้ จึงได้มีจดหมายส่งกลับไปยังมนุษย์ต่างดาวผู้ที่ส่งข้อสังเกตนั้นมา
ความในจดหมายนั้นมีว่า
"แน่นอน ความรักไม่ได้มีเพียงด้านเดียว
ด้านที่เธอได้วิเคราะห์มานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรักเท่านั้น
จริงอยู่ ที่ความรักอาจทำลายคนได้
หากคนคนนั้นไร้สมองพอที่จะตกเป็นทาสของความรัก
เธอเคยเห็นใช่ไหม มนุษย์อันโง่เขลาที่ยอมตายได้เพื่อรัก
และเมื่อเขาเสียความรักนั้นไป เขาจึงจบการเดินทางของชีวิตของเขา ณ จุดนั้น
แต่เธอก็คงเคยพบมาเช่นกัน ตลอดเวลาที่เธออยู่บนโลกมนุษย์นั่น
เคยเห็นใช่ไหม ภาพของพ่อแม่ที่ดูแลลูกๆของพวกเขาน่ะ
แล้วภาพของคู่รักที่อยู่กินกันจนแก่เฒ่าล่ะ ก็เคยเห็นใช่ไหม
แม้แต่คนที่ดำรงตัวอยู่คนเดียว
ก็ยังสามารถมอบความรักให้กับเพื่อนมนุษย์และเพื่อนร่วมโลกได้
...ความรักของผู้ให้กำเนิด
...ความรักของคู่รัก
...ความรักของมนุษย์
เห็นไหมว่าความรักไม่ได้นำมาซึ่งความทุกข์เพียงอย่างเดียว
แต่ยังนำมาซึ่ง ความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ
ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์เหล่านั้น จะเลือกมองด้านไหน
...
ความรักช่วยทำให้มนุษย์เหล่านั้นยังคงความเป็นมนุษย์
เธอลองคิดดูสิ ถ้าหากที่โลกนั้นปราศจากความรัก
มนุษย์จะมีชีวิต หากิน สืบพันธุ์ แล้วก็ตาย
แม้แต่ความห่วงใยแก่กันยังไม่มีให้
มนุษย์ก็จะไม่ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉาน
ไม่สิ ต่ำกว่านั้นอีก
เปรียบเสมือนเครื่องจักรไร้จิตใจที่คงอยู่เพื่อขยายพันธุ์เท่านั้น
...
เพราะมีความรัก มนุษย์เหล่านั้นจึงเป็นสิ่งสวยงาม
และสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นสวยงาม มิสวยงามและไม่ต้องการเหตุผลหรอกหรือ
เอาล่ะ ที่ฉันจะบอกเธอคงมีเพียงเท่านี้
เธอลองกลับไปค้นหาคำตอบดูก็แล้วกัน
ว่ามนุษย์จะมีความรักไปทำไม?"
เราขอยกคำถามของมนุษย์ต่างดาวอาวุโสผู้นี้ให้นายตอบ
เพราะจะมีใครเล่าเข้าใจความคิดของมนุษย์ ได้ดีไปกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง จริงไหม

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

*\--| P๐Em |--*/

จะรู้ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่
ก็ต่อเมื่อเราได้ออกเดินทาง
จะรู้ถึงคุณค่าของอะไรในสักอย่าง
ก็ต่อเมื่อเราต่างเสียมันไป
จะรู้ถึงความหมายของฟ้าหลังฝน
ก็ต่อเมื่อเราผ่านพ้นมันมาได้
จะรู้ว่ามีเรื่องราวอีกมากมาย
ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจยอมรับมัน
จะรู้ว่าในหนังสือมีอะไร
ก็ต่อเมื่อเราได้ลองเปิดอ่าน
จะรู้เวลายามดอกไม้บาน
ก็ต่อเมื่อเฝ้าติดตามทุกนาที
จะรู้ว่าเรื่องหัวเราะมันมีค่า
ก็ต่อเมื่อเสียน้ำตาไปเต็มที่
จะรู้ถึงความในใจอีกฝ่ายมี
เมื่อได้เอ่ยถ้อยวจี พูดออกไป
จะรู้ว่าอะไรคือคิดถึง
ก็ต่อเมื่อยังคะนึง ยังหวั่นไหว
จะรู้ความหมายในคำรักจากหัวใจ
ก็ต่อเมื่อมีใครมาผูกพัน
จะรู้ว่าค่ำคืนนี้ไม่เงียบเหงา
เมื่อได้เล่าถึงเหตุการณ์ในภาพฝัน
จะรู้ว่าคำพูดหมดความหมายพลัน
ก็ต่อเมื่อคนคนนั้น จากไปแสนไกล...

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

เดี่ยว

สวัสดีชีวิต
ถูกผิดเราไม่รู้
ไม่มีใครเลี้ยงดู
เราอยู่ตัวคนเดียว...

ใครคือพ่อแม่
ไม่มี กำพร้า เปล่าเปลี่ยว
นอนเพียงคนเดียว
หนาวเพียงคนเดียว

เงินไม่มี
งานไม่มี
ไม่มีใครเมตตา
เพราะเราจนทั้งปัญญาและเงินทอง

การศึกษาคืออะไร
อ่านออกเขียนได้ -- ไร้ค่า
ยังไงเสียก็ต้องกลับมา
แบมือตั้งท่า เป็นขอทาน

บ้างเป็นอันธพาล
บ้างนอนข้างกองขยะ
บ้างอาศัยใบบุญพระ
บ้างกลายเป็นเศษสวะของสังคม

เราทำผิดตรงไหน
ทำไมเราไม่มีอะไรแบบคนอื่น
พ่อแม่ ความรัก ความอบอุ่น
หรือเราผิดตั้งแต่เราลืมตามาดูโลก

ลาก่อนชีวิต
ในเมื่อบนนี้เราไม่มีที่จะอยู่
เราคงไม่ผิดใช่ไหม
เพราะยังไงชีวิตนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับใครอยู่แล้ว

...ยังมีคนที่ด้อยโอกาสกว่าเราอยู่เสมอ
ในวันที่เราคิดน้อยอกน้อยใจว่าทำไมเราถึงไม่มีกระเป๋าใหม่เหมือนเพื่อน
ยังมีคนที่คิดว่าทำไมเขาถึงไม่มีแม้แต่บ้านที่จะอยู่
ในวันที่เราเลี้ยงฉลองวันเกิดอย่างใหญ่โต อาหารการกินมากมาย
ยังมีคนที่คิดว่า เขาจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ทำไม และไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าอิ่มท้อง

เห็นแก่ตัวให้น้อยลง ให้คนข้างนอกได้มีโอกาสเห็นแก่ตัวบ้าง ความเห็นแก่ตัวในโลกก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่หรอกครับ

อะไร

วันนี้ไม่รู้จะเขียนอะไร
ไม่มีอะไรจะเขียน
อะไรๆก็ไม่มีให้เขียน
เขียนไปก็ไม่ได้อะไร
เพราะไม่มีอะไรให้เขียน
"แล้วเราจะมานั่งเขียนทำไม"
ทำไมเราถึงมานั่งเขียนไม่ได้
เรากำลังจะเขียนอะไรๆให้ใครบางคนอ่าน
"ก็แล้วจะเขียนไปทำไม
ในเมื่อมันไม่มีอะไรให้เขียน"
ทำไมถึงไม่มีอะไรให้เขียน
"ก็ไม่รู้ทำไม"
แล้วจะทำไม
"ก็ทำไปทำอะไร"
ทำไม
"ทำไมอะไร"
ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้
"ทำไปแล้วได้อะไร"
ได้อะไรให้คนมาอ่านไง
ทำอะไรๆก็ต้องได้อะไรซักอย่างออกมาเสมอไง
"ก็อะไรๆที่ว่าน่ะมันอะไร"
ก็ที่เขียนอยู่นี่ไง "อะไร" ที่ว่า
หากอยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ก็ลองถามตัวเองดูว่า
อะไรที่ทำให้ทนอ่านอะไรมาถึงตอนนี้
แล้วทำไมถึงไม่ไปทำอะไรที่ไม่ใช่อะไรนี้
อยากรู้ใช่ไหมว่าอะไร
ก็อะไรเดียวกับที่ทำให้เรามานั่งเขียนอะไรนี่ไง
อะไรๆบางทีก็ไม่มีอะไร
อะไรบางอย่างก็มีอะไรมากกว่าที่คิด
เพราะฉะนั้น อะไรๆในบทความที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนี้
หรืออะไรๆในอะไรอื่นๆ
ก็อาจจะเป็นอะไรๆที่มีคุณค่า
อะไรบางอย่างนั้นอาจเป็นสิ่งที่สำคัญ
ที่เราไม่ได้ฉุกใจเลยว่า"อะไร"เป็น"อะไร"แล้ว"ทำไม"ถึงเป็นอะไรอย่างนั้น
ลองดูสิครับ
ลองไปหันไปมองอะไรๆ
แล้วก็ตอบตัวเองว่ามันคืออะไร
แล้วคุณถึงจะได้อะไรๆจากบทความนี้

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

เรื่องสิวๆ

เรา.....เป็นสิว
...
...
..
..
.
แล้วไง? ใครบางคนถาม
"เอ๊า! เป็นสิวก็ไม่หล่ออ่ะดิ"เราตอบใครบางคนไปอย่างนั้น

อย่านะ อย่า ตอนนี้เรารู้ว่าพวกนายจะต้องคิดอยู่ในใจแน่นอนว่า "เอ็งไม่เป็นสิว เอ็งก็ไม่หล่อ"
ครับ ความจริงข้อนั้นเรารู้ดี แต่มันก็ต้องมีกันบ้างที่ต้องชมหน้าตาตัวเองกันบ้าง ไม่ให้ตกใจเวลาส่องกระจก
เว้นคนตาบอด มีวัยรุ่นคนไหนบ้างที่ไม่สนใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง
อาจเอาไว้ทั้งเหล่สาวและเอาไว้ให้ถูกเหล่
บางทีตัวตายได้แต่ขอหน้าสวยไว้ก่อน
ไม่ใช่แต่ผู้หญิงนะครับที่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา
เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็เริ่มหันมาใช้เครื่องประทินผิวเหล่านี้กันแล้ว
อันจะเห็นได้จากสินค้า "For men" ทั้งหลายที่แข่งกันออกมาแย่งผู้บริโภค
และด้วยเหตุนี้เหล่าหนุ่มสาว(และที่ไม่หนุ่มไม่สาวแล้ว)เลยพากันประเคนทั้งสารอะไรต่อมิอะไรลงไปพอกหน้าตัวเอง
เพื่อต่อสู้กับสารพัดสารพันศัตรูที่จะมาแย่งชิงความสวยหล่อของตัวไป
ทั้งฝ้า กลาก เกลื้อน(เอ่อ..) กระ ตีนกา และอีกมากมาย
และในบรรดาปัญหาทางใบหน้าเหล่านั้น "สิว" ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความรำคาญให้กับเราๆได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ความจริงวิธีรักษาสิวมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรหรอกครับ
สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดสิว ก็คือความสกปรกของใบหน้า ทั้งคราบความมัน มลพิษ รวมไปถึงเครื่องสำอางด้วย
ดังนั้น เพียงแค่รักษาความสะอาดของใบหน้าอยู่ตลอดเวลาก็พอแล้ว
เช่นหลังจากที่เอาหน้าไปรับมลพิษจากท้องถนนมาจนดำได้ที่แล้ว ก็ล้างหน้าซะบ้าง ไม่ใช่หมักเอาไว้เป็นชั้นๆ เอาไว้ลอกออกมาเป็นแผ่นๆได้
นอกจากรักษาความสะอาดแล้ว เรื่องอาหารการกินก็มีส่วนด้วย ต้องคอยระวังสารประเภทคาเฟอีนเช่นกาแฟ เพราะอาจทำให้เป็นสิวหรืออาการของสิวแย่ลงได้(อาหารมันๆไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดสิวนะครับ เพราะถึงยังไงไขมันมันก็ถูกย่อยหมดในท้องอยู่ดี)
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การนอนไม่พอและความเครียดก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน
ส่วนถ้าใครป้องกันไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะมันเป็นขึ้นมาแล้ว ในการรักษาสิวก็มียาทาที่ใช้ด้วยกันหลายอย่าง ที่ใช้โดยทั่วไป จะเป็นยาทาที่เป็นยา ปฏิชีวนะ ยาที่เป็นกรดวิตามินเอ ยาที่อยู่ในจำพวก Benzoyl peroxide ยาทาที่มีส่วน ประกอบของ Resorcinol และ Sulfur เป็นต้น ยาทาเกือบทุกตัวจะระคายผิวไม่มากก็น้อย จึงควรทาบาง ๆ โดยเฉพาะ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอและ Benzoyl peroxide ยาทา ที่เป็นยาปฏิชีวนะก็ออกฤทธิ์โดยการมีผลต่อเชื้อแบคทีเรีย ส่วนยาทาตัวอื่นมีผลในการทำ ให้สิวอุดตันหายไปหรือลดการเกิดสิวอุดตัน อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของยาทาก็ค่อน ข้างจำกัด จึงใช้ได้ในผู้ที่เป็นสิวไม่รุนแรงนัก มิเช่นนั้นก็ต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วย ยา ทาในกลุ่มของ Benzoyl peroxide อาจทำให้เกิดผื่นแดง เห่อ คันหรือแสบได้ จึงควร หยุดใช้ถ้ามีอาการดังกล่าว ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอมักจะทำให้ผิวแห้งและลอกได้ จึงควร ทาบาง ๆ หรือในการเริ่มใช้ยาอาจใช้ทาแค่ 5 - 10 นาที แล้วล้างออก เพื่อเป็นการลดการ ระคายเคืองลง เมื่อผิวเริ่มชินกับยาหรือไม่มีการแพ้ยา จึงทาทิ้งไว้นานขึ้น หรือไม่อย่างนั้นทางที่ดีก็ปล่อยให้มันหายไปตามธรรมชาติก็ได้ครับ เพียงแต่อย่าไปแกะไปเกามันก็พอ จะได้ไม่เป็นแผลเป็นหรือเป็นสิวเรื้อรัง
ตลกดีใช่มั้ยครับที่แทนที่เราจะใช้เครื่องสำอางเพื่อปกปิดริ้วรอยบนใบหน้า แต่เครื่องสำอางเหล่านั้นก็กลับมาทำให้หน้าเราเป็นสิวที่ฝากริ้วรอยได้อย่างชัดเจนแทน
แม้แต่ยาทาแก้สิวก็ยังมีผลข้างเคียงให้ได้คันกันถ้วนหน้า
อะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติน่ะ คนเราปรับตัวให้เข้ากับมันไม่ได้หรือถึงได้ก็อยู่ไม่ยืนหรอกครับ
ปล่อยให้สิวมันเป็นแค่เรื่องสิวๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมันมาก ซักพักมันก็หายไปเองแหละครับ

แนะนำหนังสือ : Reality Boy



Book Review : Reality Boy

หนังสือตลกไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ครับ อ่านแล้วสนุกดี
เล่มนี้เป็นเรื่องต่อจากหนังสือทำมือเล่มเล็กๆของบอย(ตัวเอกของเรื่อง บ้าๆบอๆ) ชื่อเรื่องจำไม่ได้แล้ว เพราะนานมาก
ตอนนี้หนังสือเล่มเล็กๆนั้นไม่มีให้อ่าน แต่สำนักพิมพ์ใยไหมก็ได้เอามาพิมพ์ใหม่เป็นแบบรวมเล่มโดยยังคงลายเส้นเดิมไว้ ไปหามาอ่านกันได้
แต่เราว่าลายเส้นการ์ตูนตอนนี้ดีกว่าเยอะ
หนังสือของบอยเล่มนี้เป็นผลงานของคุณ ว.แหวน และคุณ Mui ที่ช่วยกันแต่งช่วยกันวาดออกมา
ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า อย่างเล่มที่เรามีก็เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 8 แล้ว
เอ่อ.. ขอออกตัวนิดนึงก่อนว่าเราไม่ได้ค่าสปอนเซอร์หรอกนะ ของเค้าดีจริงก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้าน่ะแหละ
REALITY BOYเป็นกึ่งนิยายกึ่งการ์ตูนเกี่ยวกับชีวิตของหนุ่มโสด(ไม่สด ไม่งอก)ที่มีนามว่าบอย
จบ'ถาปัด มีเพื่อนเป็นหมา ภรรยายังไม่มี ขณะนี้กำลังรอรักแท้(เผอิญรักแท้ไปเรียนต่อต่างประเทศ)
ซึ่งในเล่มนี้ชีวิตอันแสนอลวนของบอยก็ได้ดำเนินมาจนถึงประมาณกลางเรื่องแล้ว
อ่านแล้วคลายเครียดดีมากเลยครับ ดูเหมือนว่าบอยมีชีวิตอยู่จริงๆเลย
ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอคุณว.แหวนเค้ามาให้สัมภาษณ์ในท้ายหนังสือเล่มหนึ่งของบอยเหมือนกัน ถึงพึ่งรู้ว่าบอยไม่มีตัวตน
ไม่ใช่แค่เราคนเดียวหรอกนะที่คิดอย่างนี้ เพราะจากคำให้การ(?) ของคุณว.แหวน เค้าก็บอกว่ามีคนส่งจดหมายมาหาบอยเยอะเหมือนกัน เพราะนึกว่าบอยเป็นคนจริงๆ
ถึงจะบอกว่าเป็นการ์ตูนสำหรับคลายเครียดก็จริง แต่นิยายเล่มนี้ก็ไม่ได้มีเอาไว้ขำแบบสิ้นคิด
แต่ยังมีสาระดีๆเก็บเอาไว้ให้ด้วยเหมือนกัน พยายามหากันหน่อย
"ความรัก ไม่เคยทำร้ายใคร แค่หยอกเอินหัวใจ ให้วูบไหวเป็นพักๆ"
"ชีวิต...ควรเดินไปตามจังหวะ ถ้าเดินเร็วไปก็เหนื่อยกาย พาลจะสิ้นอายุขัยก่อนวัยอันควร ถ้าเดินช้าไปก็เหนื่อยใจ อาจท้อแท้ถอดใจก่อนเวลาอันควร"
เห็นมั้ย คนเขียนเค้าฝากข้อคิดดีๆไว้ให้เราเหมือนกันครับ ถึงบางอันจะฟังน้ำเน่าไปหน่อยก็เหอะ
นอกจากเล่มนี้แล้ว หนังสือของบอยยังมีเล่มอื่นๆอีก เช่น
เพลงรักในผายลมร้อน
Ha Jung Boy
ศึกวันโดนด่า บอย vs จุ่น
ฯลฯ
ควรซื้อหาเอามาผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือจากการเรียนให้ครบชุดจะเป็นการดียิ่งครับ
หากสนใจ ก็สามารถเข้าไปชมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ใยไหมได้เลยครับที่
www.yaimaibook.com/

ตัวอย่างภายในเล่มครับ


วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551

ดอกแก้วกัลยา

เพลงดอกแก้วกัลยา

คำร้อง: ประภาส ชลศรานนท์
ทำนอง: ประภาส ชลศรานนท์
เรียบเรียง: ประภาส ชลศรานนท์
ปีที่แต่ง: พ.ศ. 2549
องค์กร (ศิลปิน): สมาคมดนตรีเพื่อคนตาบอด
เนื้อร้อง :แก้วกัลยาทรงคุณค่าเหนือจิตใจ
คือดอกไม้แห่งความรักและการแบ่งปัน
องค์พระพี่นางพระราชทานเป็นมิ่งขวัญให้ผองผู้พิการไทยทั้งปวง
*** ดอกไม้ฟ้า แห่งกรุณา ประทานลงมาแสนชื่นใจ
ดั่งดอกไม้จากเทวาลัยจากแดนสรวง
ดอกไม้ฟ้า แก้วกัลยา แทนใจทั้งปวงแทนความรักความเป็นห่วงความชื่นชม
ขาดแขนขาหรือดวงตามองไม่เห็น
ใช่จะลำเค็ญใช่จะทุกข์หรือตรอมตรม
ยังมีหัวใจสู้ต่อไปอย่างสุขสมคือชีวิตที่ชื่นชมโลกงดงามซ้ำ ***

เพลงนี้บริษัท เวิร์คพอยท์แต่งให้พระพี่นางเนื่องในวโรกาสคล้ายวันประสูติครับ โดยให้คุณประภาสเป็นคนแต่งเนื้อร้อง เป็นสัญลักษณ์ของผู้พิการเลย ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกในรายการคุณพระช่วย ชอบมากๆเลย เพลงเพราะมาก คนร้องเป็นกลุ่มผู้พิการส่วนนักร้องนำคือ น้องตั๊ก อธิศรี สงเคราะห์ จากสมาคมดนตรีเพื่อคนตาบอด เสียงใสมากๆครับ ฟังจบแล้วขนลุกเลย

แสงหนึ่ง...คือรุ้งงาม


แสงหนึ่งคือรุ้งงาม
รู้ไหมว่าเราซาบซึ้งใจแค่ไหน
และรู้ไหมว่าเรานั้น ปลาบปลื้มเท่าไหร่
ที่ได้มีเธอ เป็นพลังอันสำคัญ
เพราะว่าเรานั้นรู้เธอทำเพื่อใคร
เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เธอไม่ไหวหวั่นเพื่อที่จะให้เรานั้นได้เดินต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่ว่าสำหรับเรานั้น…
เธอเหมือนดังกับแสง ที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น ก็เด่นชัดขึ้นทันที
เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี
แต่เธอก็สะท้อน
ความจริงให้โลกนี้ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร วันและคืนจะหมุนเปลี่ยนสักเท่าไหร่
เรานั้นก็แน่ใจ ว่าจะมีเธอยืนอยู่ข้างหลัง
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอแต่สำหรับเรานั้น…
เธอเหมือนดังกับแสงที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน
สิ่งที่ซ่อนเร้นก็เด่นชัดขึ้นทันที
เปรียบเธอกับแสง
แม้ไม่มีสีแต่เธอก็สะท้อน
ความจริงให้โลกนี้ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
จึงอยากขอมอบเพลง เพลงนี้ให้ให้เธอรับรู้ว่าสำหรับเรา เธอสำคัญเพียงไหน
เธอเป็นดั่งแสง ที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อส่องมาสะท้อน
สิ่งที่ซ่อนเร้นก็เด่นชัดขึ้นทันที
เปรียบเธอกับแสง
แม้ไม่มีสีแต่เธอก็สะท้อน
ความจริงให้โลกนี้ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด
แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ได้พบเห็นสิ่งดี ๆ ว่างดงามเพียงใด

ไว้อาลัยแด่...พระพี่นางฯ

พระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมพ.ศ. 2466 ณ เมืองเอดินบะระ ประเทศอังกฤษ เป็นพระธิดาพระองค์แรกใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระนามแรกประสูติตามที่โรงพยาบาลตั้งถวายคือ May ต่อมาเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตั้งพระนามว่า หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา มหิดล (คำว่า "วัฒนา" ในพระนาม ทรงตั้งตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอขอ งพระมหากษัตริย์สองพระองค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลได้ทรงสืบราชสมบัติต่อมา คณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงได้มีพระบรมราชโองการให้เฉลิม พระอิสริยยศ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญพระชนมายครบ 72 พรรษา เสมอ ด้วยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในเป็นพระองค์แรกในรัชกาล ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่าสมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีโครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้อยโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง และ ฯลฯ นอกจากนี้ยังทรงพระอัจริยภาพในด้านการประพันธ์ พระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น เวลาเป็นของมีค่า แม่เล่าให้ฟัง เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ มหามงกุฎราชสันตติวงศ์ และพระนิพนธ์ เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ที่เสด็จประพาส แต่สิ่งที่ไม่ใคร่มีผู้ใดทราบคือ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการขับเครื่องบินปีก 2 ชั้น และทรงขับเฮลิคอปเตอร์ได้อีกด้วย ทรงโปรดสัตว์ทุกประเภท แต่ที่มีขนาดเหมาะสมกับพระตำหนักคือสุนัข พระองค์ทรงรับคณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยไว้ในพระอุปถัมภ์ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้เสด็จทรงประพาสทั้งในและต่างประเทศ เพื่อบำเพ็ญ พระกรณียกิจ เช่นโครงการแพทย์ พอสว. (สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) และเพื่อทรง ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะที่มีเจ้าฟ้าหญิงที่ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมหาศาลอย่างไม่รู้จักทรง เหนื่อย ยากเพื่อความสุขของประชาชน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2551 เวลา 2:54 น. ที่ รพ.ศิริราช พระชนมายุ 84 พรรษา